แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๔ – ตอนที่ ๒

ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี)

แม่ไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว และพ่อก็ดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเท่าใดนัก ส่วนผมเองก็ทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่เฝ้ามองทั้งคู่ทำสงครามความเชื่อกันอย่างเงียบ ๆ

“ถ้าแม่เราอยากไปเป็นเครื่องมือของไอ้นายทุนที่ไม่รู้จักพอ ก็ให้เค้าไปเถอะ เราไม่จำเป็นต้องไปตามกลับมาหรอก” พ่อเปรยให้ผมฟังด้วยนํ้าเสียงกึ่งโมโห กึ่งน้อยใจ ตั้งแต่คืนแรกที่แม่ไม่กลับมานอนบ้าน

ผมเองแม้จะคิดถึงแม่เพียงใด แต่ก็ไม่กล้าเดินทางไปหาแม่ตามลำพัง จึงได้แต่มองหาแม่ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ เวลาที่มีรายงานข่าวสถานการณ์การชุมนุม แต่ผมก็มองหาแม่ไม่เจอสักที รู้แต่ว่าแม่ค่งอยู่ท่ามกลางคลื่นคนที่พร้อมใจกันใส้เสื้อสีแดงและกำลังกู่ตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีหนุ่มหล่อกันอย่างหน้าดำหน้าแดง ผมพยายามโทรหาแม่หลายครั้ง แต่แม่ก็ปิดโทรศัพท์มือถือราวกับไม่ต้องการให้พวกเรามายุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมเพื่อ ‘ประชาธิปไตย’ ของแม่ในครั้งนี้

“บ้านเมืองเรามันสองมาตรฐาน รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลเผด็จการ อย่างนี้จะให้แม่อยู่เฉย ๆ ได้ยังไง” แม่บอกผมด้วยสีหน้าและนํ้าเสียงที่จริงจังก่อนออกจากบ้านไปชุมนุมกับพรรคพวกของแม่ก่อนไปแม่ลูบหัวผม แล้วบอกให้ผมหยิบหนังสือมาอ่านเสียบ้าง อย่ามัวแต่เล่นเกม ผมพยักหน้ารับคำแล้วแม่ก็ก้าวออกจากบ้านไปโดยไม่หันมามองพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา

ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ยังไม่กลับมาบ้านเลยพ่อเห็นต่างกับแม่อย่างสุดขั้วมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เพิ่งมาแตกหักอย่างรุนแรงเมื่อเดือนที่แล้ว ในช่วงที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ แม่ถึงกับลางานเพื่อไปร่วมชุมนุม แม่บอกผมว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่พวกเราจะได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา ช่วงแรก ๆ แม่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่ชุมนุม บ้านและที่ทำงาน แต่ช่วงหลังนี้เองที่การต่อสู้เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยุบสภาเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนแมตั่ดสินใจไปกินอยู่หลับนอนร่วมกับผู้ชุมนุมคนอื่น ๆ ที่แม่บอกว่าเป็นเหมือนพี่น้องร่วมอุดมการณ์

พ่อทนไม่ได้ที่แม่ไปฝักใฝ่ฝ่ายนั้นอย่างสุดตัว ส่วนแม่ก็ไม่พอใจที่พ่อมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่แม่กำลังทำ เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ทั้งคู่ก็ระเบิดความคิดความเชื่อของตนออกมาอย่างรุนแรง ต่างคนต่างตะโกนหลักการประชาธิปไตยใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งเวลาเอ่ยถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นอำนาจจนต้องหนีไปอยู่ต่างแดนด้วยแล้ว เสียงของทั้งคู่จะแผดดังกว่าเก่าอีกหลายเดซิเบล คนหนึ่งเห็นแต่ความดีในตัวอดีตนายกฯ คนนั้น ส่วนอีกคนก็เห็นแต่ความเลวทราม จนผมสงสัยว่าพ่อกับแม่กำลังพูดถึงคนคนเดียวกันอยู่หรือเปล่า บางครั้งทั้งคู่ก็หันมาถามความเห็นจากผมหวังว่าผมจะร่วมวงวิวาทะ เพื่อหนุนคะแนนเสียงให้ฝ่ายตัวเองมีชัย แต่ผมมักทำไม่รู้ไม่ชี้และเดินหนีเข้าห้องนอนไปแทบทุกครั้ง ก็จะมาเอาอะไรกับเด็ก ม.๑ อย่างผมที่สนใจเล่นเฟซบุ๊คกับเพลย์สเตชั่นมากกว่าเรื่องการเมืองกันเล่า

ตั้งแต่วันที่ทะเลาะกันครั้งใหญ่จนบ้านแทบแตกนั้น พ่อกับแม่ก็แทบไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างอยู่และทำกิจกรรมต่าง ๆ แบบตัวใครตัวมัน การเป็นลูกคนเดียวก็สร้างความลำบากใจให้ผมไม่น้อย เมื่อต้องเลือกข้างระหว่างพ่อกับแม่ที่มีความคิดเห็นต่างกันสุดขั้วเช่นนี้ หลายครั้งก่อนหน้านี้เมื่อต้องนั่งทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า ความอึดอัดก็กดทับมาที่ผม เพราะผมต้องนั่งฟังการโต้วาทีของพ่อกับแม่จนหูชา ซ้ำยังถูกยัดเยียดความเชื่อที่ทั้งคู่คิดว่าถูกต้องให้กับผม บางทีผมเริ่มเห็นด้วยกับเหตุผลของแม่ แต่พอได้ฟังสิ่งที่พ่อโต้แย้งมา ผมก็เริ่มเอนเอียงไปทางพ่อ เมื่อแม่สวนกลับมาด้วยตรรกะอีกแบบ ผมก็คล้อยตามอีกครั้ง แต่เมื่อพ่อคัดค้านด้วยหลักฐานและข้อมูลที่พ่อมี ผมก็เอนไปทางพ่ออีกรอบ นั่นทำให้ผมสับสนกับตัวเองอยู่พักใหญ่ ไม่รู้จะเชื่อทางไหน ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร แต่พอนานวันเข้า ผมก็เริ่มชินชา ไม่โน้มเอียงไปข้างใดง่าย ๆ และวางเฉยราวผู้บรรลุธรรม ตอนนี้ผมจึงเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์การงัดข้อทางความคิดของพ่อกับแม่อยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

ผมเห็นว่าก็แปลกดีเหมือนกัน ที่คนอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมานานจะเห็นต่างกันได้เพียงนี้ บางทีข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและเพื่อนฝูงรอบข้างก็อาจมีส่วนในการเลือกข้างก็เป็นได้

แม่ของผมทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนแม่ที่ทำงานหลายคนก็คลั่งไคล้ในตัวอดีตนายกฯ พลัดถิ่นอย่างหัวปักหัวปำ ผมเคยได้ยินแม่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนในเรื่องนี้บ่อย ๆ แม่ชอบบอกเพื่อนว่าแม่รู้สึกสงสารและเห็นใจอดีตนายกฯ ที่ถูกกลั่นแกล้ง จนต้องหมดอำนาจและหนีไปอยู่ต่างแดนโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนเมื่อไร จากนั้นแม่กับเพื่อนก็ด่าว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันกันอย่างมันปาก

นอกจากนี้แม่ยังรับข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ต แม่ชอบอ่านความคิดเห็นต่างๆ ผ่านเว็บบอร์ดและเอามาเล่าต่อให้ผมฟังบ่อย ๆ (โดยเฉพาะตอนที่พ่อไม่ได้อยู่แถวนั้น) แม่บอกว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตย ได้อำนาจมาด้วยความไม่ชอบธรรม ถ้าแน่จริงต้องยุบสภาและเลือกตั้งกันใหม่ จะได้รู้กันไปเลยว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเขาจะเลือกใคร

ส่วนพ่อของผมเป็นนักแปลอิสระ ทำงานแปลหนังสือและบทความอยู่ที่บ้านบางครั้งพ่อก็มีเพื่อนๆ ที่เป็นนักเขียน นักแปล หรือคนในแวดวงสิ่งพิมพ์มารวมตัวกันที่บ้านนั่งจิบนํ้าสีอำพันและพูดคุยกันในเรื่องราวต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องเหตุบ้านการเมืองด้วย พ่อผมและเพื่อน ๆ มักจะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของอดีตนายกฯ กันอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งเรื่องการคอร์รัปชั่น การสร้างนโยบายต่าง ๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและพวกพ้อง และพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสอีกสารพัด

นอกจากนี้พ่อยังติดตามข่าวผ่านทางหนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ต พ่ออ่านหนังสือพิมพ์วันละหลายฉบับ และใช้เวลาช่วงคํ่า ๆ นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่เป็นชั่วโมง พ่อบอกผมเสมอว่า คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วการเลือกตั้งเป็นแค่กระบวนการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น พ่อมักยกตัวอย่างว่า แม้อดีตนายกฯ จะมาจากการเลือกตั้งก็จริง แต่พฤติกรรมหลังจากได้รับเลือกแล้วกลับไม่เป็นประชาธิปไตยเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุกคามสื่อและองค์กรอิสระ หรืออีกหลายกรณีที่ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว พ่อยํ้าว่าแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกให้เขามาบริหารประเทศ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ยังไงก็ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างด้วย

ส่วนตัวผมนั้นก็กลายเป็นส่วนผสมของทั้งสองฝ่าย เวลาแม่ด่าว่ารัฐบาล ผมก็เออออด้วยเมื่อพ่อด่าว่าผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ผมก็พยักหน้ารับฟัง จนดูเหมือนว่าผมกลายเป็นคนไม่มีจุดยืนลื่นไหลไปได้ทุกสถานการณ์ แต่จริง ๆ แล้ว จุดยืนของผมมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คืออยากให้พ่อแม่กลับมาพูดคุยกันดี ๆ เหมือนเดิม ไม่ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องพวกนี้อีก

ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่บวกกับใกล้วันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ ผมจึงไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน นอนดูโทรทัศน์บ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง เล่นเกมบ้าง ผมกับพ่อก็ได้เห็นหน้าเห็นตากันทั้งวัน ได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ต่างจากช่วงที่ผมต้องไปเรียนหนังสือ ซึ่งกว่าจะได้เจอกันก็ตอนเย็นยํ่าแล้ว แต่การที่บ้านหลังนี้ขาดแม่ไป ก็ทำให้วันหยุดยาวเช่นนี้ไร้ความหมายและดูอ้างว้างวังเวง ตั้งแต่แม่ไม่กลับมาบ้าน พ่อก็เป็นคนทำอาหารให้ผมทาน หรือบางทีพ่อก็ขับรถพาผมไปทานอาหารนอกบ้านพ่อยังติดตามข่าวการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง และวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดเช่นทุกครั้ง แต่พ่อก็ไม่เคยเอ่ยถึงแม่เลย บางทีพ่ออาจจะโกรธแม่มาก ใจจริงแล้วผมอยากรู้ว่าตอนนี้แม่เป็นอยู่อย่างไร สบายดีหรือไม่ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับพ่อ แต่ลับหลังพ่อ ผมก็จะแอบโทรศัพท์หาแม่ แต่ก็ไม่เคยติดต่อแม่ได้สักที

บางวันผมนั่งดูข่าวโทรทัศน์กับพ่อ ซึ่งเสนอแต่ข่าวการชุมนุมกดดันรัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดง จนผมปวดหัวตาลายไปหมด รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม ส่วนฝ่ายผู้ชุมนุมเองก็ป่าวประกาศว่าจะยืนหยัดประท้วงโดยสันติ แต่ก็ยังมีข่าวลือว่ารัฐบาลมีแผนจะสลายการชุมนุมในเร็ววันนี้ บ้างก็บอกว่า ผู้ชุมนุมซ่องสุมอาวุธสงครามเพื่อสู้กับกองกำลังของรัฐบาล และยังมีอีกสารพัดข่าวลือข่าวลวงที่ไม่รู้ว่ามีต้นตอมาจากไหน และไม่รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ บรรยากาศของบ้านเมืองยามนี้อบอวลไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ไว้วางใจกัน และแตกแยกแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน

ขนาดเด็กที่ไม่ค่อยสนใจอะไรนักอย่างผมก็ยังสัมผัสความรู้สึกอึมครึมนี้ได้

เย็นวันนั้นหลังจากนั่งดูข่าวจนเอียน ผมก็ขึ้นไปห้องนอนของผม ส่วนพ่อก็ยังติดตามข่าวภาคคํ่าต่อไป ผมตัดสินใจเล่นเกมเพลย์สเตชั่นเพื่อคลายเครียดก่อนเข้านอน แต่ก็เช่นทุกครั้ง ยิ่งเล่นก็ยิ่งมัน จนไม่ยอมปิดเครื่องและเข้านอนเสียที เหลือบมองดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบตีสามเข้าไปแล้ว ผมจึงเลิกเล่นและล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้า

วันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงวัน แต่ก็นอนลืมตามองเพดานอยู่สักพักแล้วจึงลุกขึ้นมาบิดซ้ายบิดขวาแก้อาการเมื่อยขบ แล้วจึงเดินเข้าห้องนํ้าเพื่อล้างหน้าล้างตา เมื่อความง่วงถูกชะล้างไปกับนํ้าเย็นจากก๊อก ผมก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมวันนี้พ่อไม่เข้ามาปลุกผมเช่นทุกวัน พ่อไม่เคยปล่อยให้ผมนอนกินบ้านกินเมืองอย่างนี้มาก่อน ไม่ว่าผมจะนอนดึกแค่ไหน พ่อจะต้องลากผมลงจากเตียงให้ได้

ผมเปิดประตูห้องนอนพ่อ เมื่อไม่เห็นพ่อผมจึงลงไปชั้นล่าง แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของพ่อทั้งในห้องรับแขก ห้องครัว หรือในห้องนํ้า เมื่อมองออกไปที่โรงรถ ก็พบว่ารถของพ่อไม่อยู่ที่นั่นแสดงว่าพ่อคงขับรถออกไปข้างนอก บางทีพ่ออาจจะออกไปซื้อกับข้าวก็ได้ ผมคิด แต่แล้วผมก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ภาพข่าวและพาดหัวข่าวในหน้าแรกก็ทำให้ผมขนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ข่าวบอกว่าเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่เมื่อคืนนี้ และมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ด้วย ภาพข่าวแสดงให้เห็นถึงความชุลมุนวุ่นวายบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนเสื้อแดงและทหาร อีกภาพเป็นภาพของผู้บาดเจ็บจากการปะทะ มีเลือดนองเต็มพื้นถนนและหลายคนกำลังวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

แวบนั้น ภาพของแม่ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด แม่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้แล้วอยู่ ๆ ใจผมก็เต้นรัว นํ้าใส ๆ เริ่มเอ่อที่เบ้าตา ตอนนี้พ่อไปอยู่ไหนกัน ผมตะโกนด่าว่าพ่อในใจโทษฐานที่หายตัวไปในช่วงเวลาเช่นนี้

ผมรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสอง คว้าโทรศัพท์มือถือและกดหาแม่ทันที เช่นเคยผมไม่สามารถติดต่อแม่ได้ ผมตัดสินใจโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของพ่อ ปรากฏว่ามีเสียงเพลงดังออกมาจากห้องนอนพ่อ

เวรจริง ๆ พ่อทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้อง แล้วผมจะทำยังไงกันล่ะทีนี้

ผมพยายามบอกตัวเองว่า พ่ออาจจะดูข่าวแล้วกำลังไปตามแม่กลับมาก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็ค้านขึ้นมาทันที พ่อโกรธเคืองแม่เสียขนาดนั้น ดีไม่ดีพ่ออาจกำลังสมนํ้าหน้าแม่อยู่ก็ได้

หลังจากถกเถียงกับตัวเองอยู่สักพัก ผมตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยที่ยังไม่ได้อาบนํ้า แล้วเปิดประตูออกจากบ้าน ในใจคิดแต่ว่าจะต้องตามหาแม่ให้เจอ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามถนนในซอย
ขณะที่เดินอยู่นั้น ในใจก็ก่นด่าพ่อไปด้วย ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ พ่อกลับไม่อยู่บ้าน พ่อคงไม่สนใจว่าแม่จะเป็นตายร้ายดียังไง ใช่สิ คงเพราะพ่อกับแม่อยู่คนละข้างกัน ยืนอยู่กันคนละฝั่งความเชื่อ บางทีชาตินี้ทั้งสองอาจจะไม่ญาติดีกันอีกเลยก็ได้

ผมยังเดินต่อไปเพื่อออกไปหน้าปากซอย แต่ตอนนี้รู้สึกว่า ถนนในซอยมันช่างยาวไกลเหลือเกิน ก้าวแต่ละก้าวก็หนักอึ้งราวกับมีก้อนหินผูกติดอยู่ นํ้าตาที่เอ่อในตอนแรก ตอนนี้มันไหลลงมาอาบแก้มแล้ว แต่ผมยังคงเดินต่อไปโดยไม่สนใจที่จะเช็ดมัน ในใจภาวนาขอให้แม่อยู่รอดปลอดภัยผมเดินไปเกือบถึงหน้าปากซอย แล้วทันใดนั้น รถยนต์ของพ่อก็เลี้ยวเข้ามาในซอยพอดีพ่อหยุดรถเมื่อเห็นผม ผมรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อที่ประตูด้านฝั่งคนขับ ละลํ่าละลักบอกพ่อว่าให้รีบไปตามหาแม่ พ่อยิ้มมุมปาก แล้วบอกให้ผมดูที่เบาะหลัง ผมหันไปมองอย่างว่าง่าย แล้วก็พบว่าแม่นอนหลับอยู่ที่เบาะหลังนั่นเอง

ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนโทนสีจากฟ้าอ่อนจนกลายเป็นมืดสลัว ดวงตะวันคล้อยตํ่าและหลบลงหลังหมู่ตึกสูงตระหง่านของเมืองกรุงไปแล้ว วันอันแสนยาวนานกำลังจะผ่านไปอีกวัน วันที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย

แม่นอนหลับอยู่ในห้องนอนมาเกือบห้าชั่วโมงแล้ว แม่คงเหนื่อยล้าไม่น้อยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นที่แม่กลับมาบ้านอย่างปลอดภัย มีเพียงรอยถลอกและรอย
ฟกชํ้าดำเขียวตามแขนขาบ้างเท่านั้น เมื่อพ่อพาแม่กลับมาถึงบ้านเมื่อหลายชั่วโมงก่อน พ่อก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดเนื้อตัวแม่ด้วยผ้าชุบนํ้า แม่ดูอ่อนระโหยโรยแรงจนแทบจะยืนไม่ไหว ใบหน้าก็เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบเหงื่อไคล เมื่อเช็ดตัวให้แม่เสร็จ พ่อจึงทำแผล พ่อทายาหม่องในจุดที่มีรอยชํ้าและติดพลาสเตอร์ยาในจุดที่มีรอยแผล พ่อทำทุกอย่างด้วยความนุ่มนวลเหมือนกลัวว่าแม่จะเจ็บทุกอากัปกิริยาของพ่อดำเนินไปท่ามกลางความเงียบ พ่อไม่บ่นหรือว่ากล่าวอะไรแม่สักคำ ส่วนแม่ก็มองดูพ่ออยู่เงียบ ๆ เช่นกัน

พ่อไม่ยอมเล่าให้ผมฟังว่าไปเจอแม่ได้อย่างไร พ่อได้แต่ยิ้ม และบอกเพียงว่าพ่อแค่ออกไปขับรถเล่น แล้วบังเอิญเจอแม่ตรงหน้าปากซอยบ้าน ก็เลยรับเข้ามา แต่ให้ตายผมก็ไม่มีวันเชื่อ ทั้งปีทั้งชาติผมไม่เคยเห็นพ่อคิดอยากจะไปขับรถเล่นเลยสักครั้ง ยิ่งสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว ผมไม่คิดว่าพ่อจะมีกะจิตกะใจไปขับรถเล่นแน่ ๆ

ผมนั่งดูข่าวโทรทัศน์อยู่ชั้นล่าง ปล่อยให้พ่อกับแม่นอนพักผ่อนอยู่ชั้นบน สำนักข่าวแทบทุกช่องพร้อมใจกันรายงานเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าใครคือผู้ใช้อาวุธสงครามทำร้ายผู้ชุมนุมและทหาร ในข่าวเสนอภาพที่เกิดเหตุที่ยังคงมีร่องรอยของการปะทะ คราบเลือดยังเกรอะกรังอยู่บนพื้นถนน จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ผมนึกในใจว่าถ้าเกิดแม่ผมกลายเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตเมื่อคืน ตอนนี้ผมกับพ่อจะทำอะไรอยู่ และครอบครัวของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป

ผมปิดโทรทัศน์และเดินขึ้นไปชั้นสอง แง้มประตูห้องนอนของพ่อแม่ออก แม่ยังนอนหลับปุ๋ยเหมือนเจ้าหญิงนิทรา ขณะที่พ่อก็นั่งเฝ้าแม่อยู่ข้าง ๆ เมื่อพ่อเงยหน้ามาเห็นผม ท่านจึงเดินออกมาจากห้องแล้วโอบไหล่ผมลงไปชั้นล่าง

“ไป เราไปทำข้าวเย็นให้แม่กินกัน” พ่อบอกแล้วพาผมเดินเข้าครัว พ่อเปิดตู้เย็นหยิบผัก เนื้อหมู และวัตถุดิบที่จำเป็นต่าง ๆ ออกมา

“เอ้า เอาดอกกะหลํ่านี่ไปล้าง แล้วก็หั่นด้วยนะ” ผมยิ้มให้พ่อ แล้วจึงหยิบดอกกะหลํ่าไปล้างตามคำสั่ง

นี่คงเป็นอาหารเย็นมื้อแรกที่เราจะได้ทานกันพร้อมหน้าในรอบหลายเดือน หลายเดือนที่เต็มไปด้วยความอึมครึมและอึดอัด หลายเดือนที่บ้านเป็นเพียงแค่สิ่งก่อสร้าง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าลึกๆ แล้วพ่อไม่ได้อยู่ข้างใดเป็นพิเศษ พ่อไม่ได้อยู่ข้างรัฐบาลหรือผชูุ้มนุม พ่อไม่ได้อยู่ข้างอุดมการณ์ความเชื่อใด พ่อไม่ได้อยู่ข้างสีใดสีหนึ่ง แต่ผมมั่นใจว่าพ่ออยู่ข้างแม่ต่างหาก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าทั้งคู่จะคิดต่างกันแค่ไหน จะทะเลาะกันรุนแรงเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้ว พ่อก็จะยืนอยู่ข้างแม่ เราสามคนจะยืนอยู่เคียงข้างกันและกันเสมอ

ผมเชื่อเช่นนั้น

(รัชศักดิ์ จิรวัฒน์. “ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี)”. หน้า ๑๕-๒๓.
รวมวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ ๙. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๓.)

ศึกษาเรื่องสั้นเรื่อง “ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี)” ของ รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
แล้ววิเคราะห์ตามหัวข้อต่อไปนี้

 

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๔ – ตอนที่ ๑
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๔ – ตอนที่ ๓

กลับหน้าหลัก แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๔

 

Comments are closed